25 กุมภาพันธ์ 2568

น้ำในตู้ปลาต้องดูแลอย่างไรให้ใสสะอาดอยู่เสมอ?


การดูแลน้ำในตู้ปลาให้ใสสะอาดอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสุขภาพของปลาและความสวยงามของตู้ปลา นี่คือแนวทางที่ช่วยให้น้ำใสสะอาด

1. ระบบกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพ

- เลือกใช้ กรองที่เหมาะสม กับขนาดตู้ปลา เช่น กรองฟองน้ำ กรองแขวน หรือกรองนอกตู้

- ทำความสะอาดไส้กรอง เป็นประจำ แต่ก็ไม่ล้างจนสะอาดเกินไป เพราะจะทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์

24 กุมภาพันธ์ 2568

เลี้ยงปลาสวยงามต้องเริ่มต้นอย่างไร ?

 
การเลี้ยงปลาสวยงามสำหรับมือใหม่

การเลี้ยงปลาสวยงามเป็นงานอดิเรกที่ให้ความเพลิดเพลินและช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านหรือที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นเลี้ยงปลาให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดปลา ระบบน้ำ อุปกรณ์ที่จำเป็น และการดูแลรักษาที่เหมาะสม

1. การเลือกชนิดปลาที่ต้องการเลี้ยง

ก่อนเริ่มเลี้ยงปลาสวยงาม ควรเลือกชนิดปลาที่เหมาะสมกับความสามารถในการดูแลและสภาพแวดล้อมของผู้เลี้ยง โดยพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้:

19 มิถุนายน 2561

อุณหภูมิน้ำสำคัญขนาดไหน


หลายคนคงเคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตายกันมาบ้าง เรามาดูกันว่าคำว่าน้ำร้อนน้ำเย็นนั้น ต้องร้อนหรือเย็นแค่ไหนถึงจะเหมาะกับการเลี้ยงปลาสวยงาม

อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาสวยงามคืออยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่ปลาสามารถดำรงค์ชีวิตได้ดี สามารถกินอาหารที่ขับถ่ายได้ดี

โดยทั่วไปแล้วบ้านเราซึ่งเป็นเมืองร้อน อุณหภูมิน้ำมักจะมีการขึ้นลงตามสภาพแวดล้อม คือร้อนมากในช่วงเวลากลางวัน และลดลงในเวลากลางคืน เราจึงควรเลี้ยงปลาในที่ที่มีการถ่ายเทอากาศสะดวก ไม่ร้อน หรืออับลมมากจนเกินไป ไม่ควรตั้งตู้ปลาหรืออ่างปลาให้รับแสงแดดตอนกลางวันโดยตรงเพราะจะทำให้อุณหภูมิยิ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณเกินได้ 

ขั้นตอนการปรับสภาพบ่อปูนซีเมนต์สำหรับเลี้ยงปลา


โดยทั่วไปแล้ว การก่อสร้างบ่อปลานั้น นิยมใช้การก่อขึ้นรูปปูนซีเมนต์ ซึ่งมีส่วนผสมของซีเมนต์เป็นวัสดุหลัก แต่เนื่องจากปูนซีเมนต์นั้นมีฤทธิ์เป็นด่างสูง ซึ่งเป็นอันตรายหากจะปล่อยปลาลงในทันที แต่เราสามารถปรับสภาพของบ่อปูนซีเมนต์ให้มีความเป็นกลางเพื่อให้สามารถเลี้ยงปลาได้ง่ายๆ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. ลองขังน้ำเพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจว่าบ่อไม่มีการรั่วซึม
2. ทำการล้างบ่อให้สะอาดด้วยน้ำจำนวนมาก เพื่อชะล้างเอาเศษปูนออกให้มากที่สุด
3. เต็มน้ำให้เต็มขอบบ่อ แล้วใส่น้ำส้มสายชู โดยมีอัตราส่วน น้ำส้มสายชู 1 ลิตร ต่อ น้ำ 1 ตัน
4. แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 3-5 วัน หรือเพื่อความแน่นอนควรรอประมาณ 7 วัน แล้วถ่ายน้ำออก ในขั้นตอนนี้หากเราสามารถหาต้นกล้วย (เฉพาะลำต้น) หรือผักตบชวา, ดอกจอก สามารถนำมาแช่ร่วมได้
5. ล้างให้สะอาดอีกครั้ง จนไม่ได้กลิ่นของน้ำส้มสายชู แล้วเติมน้ำใหม่ในเต็มขอบบ่ออีกครั้ง แล้วรออย่างน้อย 1 วัน
6. วัดค่า pH โดยให้ค่าอยู่ที่ระหว่าง 6.8-8.5 (เป็นสีเขียว)
7. เพื่อความแน่นอนแนะนำให้ล้างออกแล้วใส่น้ำใหม่อีกครั้ง
8. ก่อนจะลงปลา หากเป็นไปได้ควรนำปลาเหยื่อ หรือปลาขนาดเล็ก มาทดลองปล่อยดูก่อนเพื่อสังเกตุอาการว่ามีอาการผิดปรกติใดๆ โดยถ้าหากค่าปูนยังสูงอยู่ ปลาจะซึม และมีเมือกเกาะรอบตัวคล้ายอาการตัวเปื่อย ให้รีบย้ายปลาออก และแช่น้ำส้มสายชูต่อไป

อาหารสูตรเร่งสี เร่งโต


อาหารสูตรเร่งสี เร่งโต

1. อาหารประเภทลอยน้ำที่มีโปรตีนสูง 1 กิโลกรัม
   ( แนะนำอาหารกบ HighGrade สูตรโปรตีน 40%) 
2. สารอาหาร “พิงค์ (Pink)” 5 – 10 กรัม 
3. ไคโตซาน 1 มิลลิลิตร
4. วิตามินรวม 1 กรัม
5. น้ำเปล่า 10 มิลลิลิตร (ประมาณ 10 % ของน้ำหนักอาหาร)
6. น้ำมันสำหรับหมัก 2 มิลลิลิตร

ขั้นตอน นำน้ำเปล่า (5) มาละลาย พิงค์ (2), ไคโตซาน (3) และ วิตามินรวม (4) โดยผสมให้ละลายหมดดี โดยอาจจะใช้น้ำซักครึ่งส่วนก่อนแล้วค่อยๆเติมให้เหมาะสม หลังจากนั้นให้นำมาพรมใส่อาหาร (1) แล้วคลุกไปเรื่อยให้เข้ากันดี แต่ระวังอย่าให้เละ แนะนำให้สวมถุงมือ แล้วคลุกแบบเบามือ จะได้ผลดีกว่าคลุกด้วยช้อน แล้วจึงนำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท แต่ไม่ควรนำไปตากแดดเพราะจะทำให้วิตามินรวมเสื่อมคุณภาพ หลังจากนั้นให้นำมาคลุกด้วย น้ำมันสำหรับหมัก (6) แล้วผึ่งลมให้แห้งดีอีกครั้งเป็นอันเสร็จ

เกล็ดฆ่าคลอลีน (ไฮโปร)


เกล็ดฆ่าคลอลีน [ลักษณะและการใช้งาน]
มีลักษณะเป็นเกล็ดสีใส มีคุณสมบัติในการกำจัดคลอลีนในน้ำประปา ปรับสมดุลของน้ำ สามารถละลายในน้ำได้อย่างรวดเร็วและสามารถออกฤทธิ์ได้ทันที โดยมีอัตราส่วนในการใช้คือ ไฮโปร 1 กรัม ต่อน้ำ 300 ลิตร หรือง่ายๆคือใช้ ไฮโปร 1 เกล็ด ต่อน้ำ 10 ลิตร (เป็นอัตราส่วนโดยประมาณ) โดยหลังจากใส่ไฮโปรแล้ว ควรคนน้ำให้เข้ากันเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ละลายได้ทั่วถึง หลังจากนั้นรอประมาณ 5 นาทีก็สามารถปล่อยปลาได้เลย

แต่มีข้อพึงระวังว่า ไม่ควรใช้ไฮโปรเป็นประจำที่ต้องการเปลี่ยนน้ำใหม่ เพราะเมื่อไฮโปรทำปฏิกิริยากับคลอลีนในน้ำประปาแล้ว จะเกิดเป็นเกล็ดเกลือ ซึ่งจะทำให้น้ำมีความเค็ม และมีผลโดยตรงกับไตของปลา และจะเข้าไปเคลือบกับเหงือกของปลาทำให้ปลาป่วยได้หากใช้ในระยะยาว ดังนั้น ควรใช้ไฮโปรเป็นครั้งคราวในกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถพักน้ำได้จริงๆ โดยหากต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ แต่ไม่สามารถพักน้ำได้ แนะนำให้ใช้เป็นเครื่องกรองคลอลีนจะดีกว่า

คำเตือน เกล็ดฆ่าคลอลีนเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ควรเก็บรักษาให้พ้นมือเด็ก

Photo Credit : Here

ปลาทองหงายท้องทำยังไงดี


ชื่อโรค : ปลาหงายท้อง ( สูญเสียการทรงตัว - ถุงลมอักเสบ )

อาการ : ปลาสูญเสียการทรงตัว ไม่สามารถว่ายได้ตามปรกติ จนถึงขั้น ตีลังกา หงายท้อง

สาเหตุ : อาการปลาสวยงามว่ายหงายท้องมักเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากที่สุด โดยเฉพาะมักจะเกิดมากกับปลาทอง หรือปลาที่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วนใหญ่ โดยสาเหตุนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น

1. การอักเสบหรือติบตันของถุงลมในตัวปลา
2. การอักเสบ , เกิดก๊าซ หรืออาหารไม่ย่อยภายในกระเพาะอาหารของปลา
3. การถูกทำร้าย หรือการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง
4. และมักเกิดมากกับปลาที่มีอายุมาก และอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว

ขั้นตอนการรักษา : ทั้งนี้การที่จะรักษาให้หายนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และระยะเวลาที่เป็นมา โดยหากสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแต่เริ่มแรก คือเริ่มมีอาการว่ายผิดปกติ มีอาการหมุนตัวตีลังกาได้ง่าย แต่ยังสามารถว่ายกลับมาในท่าปกติได้ ก็จะสามารถรักษาได้ง่าย

เนื่องจากปลาที่มีอาการป่วยนี้จะมีสภาพร่างกายอ่อนแอมาก บางตัวไม่สามารถกินอาหารได้เอง จึงควรแยกเขาออกมาเลี้ยงในอ่างพยาบาลตามลำพัง เพื่อสะดวกในการดูแลอาการและเปลี่ยนน้ำ

1. เตรียมอ่างพยาบาลที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยพอให้ปลาว่ายได้สะดวก มีปริมาณน้ำที่ไม่ลึกมาก
2. เปิด ปั๊มออกซิเจน เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำให้เพียงพออยู่เสมอ
3. ใส่ ยาเหลือง เพื่อช่วยลดอาการอักเสบหรืออาการติดเชื้อในตัวปลา
4. ปรับสภาพน้ำด้วยเกลือสมุทรเล็กน้อย โดยใส่ประมาณ 1/2 ช้อนชาต่อน้ำ 2 ลิตร 
5. ในช่วงการรักษาให้งดอาหารทั้งหมด โดยเริ่มให้เล็กน้อยเมื่ออาการทรงตัวมากขึ้น (ปลาสวยงามทั่วไปสามารถงดอาหารได้หลายวัน)
วิธีใช้  ยาเหลืองตัวยาจะมีลักษณะเป็นผง ให้นำมาผสมกับน้ำในขวดแยกต่างหากก่อน โดยน้ำที่ได้จะมีสีเหลืองเข้ม พอผสมลงในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว สังเกตให้มีสีเหลืองใสพอประมาณ หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออก 1/3 ทุกๆวัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

ทั้งนี้หากรักษาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือทรุดลง อาจจำเป็นที่จะต้องให้สัตว์แพทย์เป็นผู้วิเคราะห์ถึงสาเหตุหรือแนวทางการรักษาโดยละเอียด เช่นทำการเจาะระบายถุงลมให้สมดุล ถึงอย่างไรก็ตามวิธีนี้เหล่านี้ก็ไม่สามารถการันตีว่าปลาจะกลับมาว่ายได้เหมือนเดิม แต่ก็จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของปลาดีขึ้น โดยโรงพยาบาลสัตว์ที่รับรักษานั้นมีที่

หน่วยปฏิบัติการวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสัตว์น้ำเพื่อการอนุรักษ์
ตึก 60 ปี ชั้น 2 คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330
โทร 02-218-9510 โทรสาร 02-251-8887
เวลาทำการ  :
วันจันทร์ - วันศุกร์    เปิดให้บริการ    09.00 - 16.00 น.  ปิดรับ 15.30 น.
คลีนิคพิเศษวันเสาร์   เปิดให้บริการ    09.00 - 12.00 น.  ปิดรับ 11.30 น.

หน่วยสัตว์น้ำโรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ตรวจวินิจฉัย และรักษาปลา ทางด้านอายุรกรรมและศัลยกรรม รวมถึงการตรวจคุณภาพน้ำ
โทร 0-2942-8756-59 ต่อ 2118
เวลาทำการ :
วันจันทร์  - พฤหัสบดี    เปิดให้บริการ 08.30-15.30 น.
วันศุกร์                    เปิดให้บริการ 08.30-11.00 น.

ค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500 บาท

ที่มาของภาพ : https://aqua.c1ub.net/

โรคเกล็ดพอง ท้องมาน-ท้องบวม




ชื่อโรค : โรคเกล็ดพอง ท้องมาน-ท้องบวมตัวเปื่อย

อาการ : บริเวณปลายทาง-คลีบ เป็นขุยขาว ลักษณะเปื่อยยุ่ย , ปลามีอาการเซื่องซึม ไม่ว่าย กินอาหารน้อยลง และหลบเข้ามุมซึ่งอาการเริ่มต้นของโรคนี้เป็นอาการที่สังเกตุได้ยาก เพราะในระยะแรกจะเหมือนกับปลาอ้วนถ้วนสมบูรณ์ดี แต่ก็มีหลักในการมองง่ายๆคือให้สังเกตุที่เกล็ดของปลา เพราะโดยปรกติแล้วปลาสุขภาพดีจะมีเกล็ดที่เรียงกันอย่างสม่ำเสมอ เป็นระเบียบ และจะต้องปกคลุมผิวหนังของปลาได้หมด แต่ถ้าเกล็ดเริ่มถ่างออก ไม่เป็นระเบียบ มีระยะห่างระหว่างเกล็ดมากขึ้น หรือมองเห็นผิวหนังของปลาได้ แสดงว่าปลาเริ่มป่วยแล้ว นอกจากนั้นมีอาการอื่นๆอีกเช่น อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว ว่ายไม่ตรง จมลงก้นตู้บ่อยครั้ง ไม่ว่ายน้ำ เซื่องซึม และกินได้น้อยลง เป็นต้น

สาเหตุ : สำหรับสาเหตุนั้นสันนิฐานว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบททีเรียในน้ำ เนื่องมาจากการให้อาหารมากเกินไป และดูแลคุณภาพน้ำได้ไม่ดี ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำที่เน่าเสียเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดการติดเชื้อในลำไส้ของปลา หรือบางกรณีที่ใส่เกลือในน้ำมากจนเกินไป ส่งผลโดยตรงต่อไตของปลา ทำให้เกิดการบวมน้ำ จนท้องบวมขึ้นมาได้ 

ขั้นตอนการรักษา

1. เตรียมน้ำ (ที่พักไว้แล้ว) ในภาชนะแยก เพื่อความสะดวกแนะนำให้ใช้กาละมัง ปริมาณพอสมควร โดยให้ระดับน้ำสูงกว่าตัวปลานิดหน่อย เพื่อลดความดัน ในกรณีที่ปลาเริ่มว่ายไม่สะดวก
2. เตรียม ปั๊มออกซิเจน ช่วงที่ปลารักษาตัว อ็อกซิเจนสำคัญมาก ควรเปิดให้แรงกว่าปรกติ แต่ต้องระวังไม่ให้กระทบกับตัวปลา
3. ปรับสภาพน้ำด้วยเกลือสมุทรเล็กน้อย โดยใส่ประมาณ 1/2 ช้อนชาต่อน้ำ 2 ลิตร 
4. การเตรียมยา เราสามารถใช้ยาได้ 2 ประเภท คือยาที่ใช้รักษาปลาโดยตรง กับยาฆ่าปฏิชีวนะสำหรับคน ซึ่งทั้งสองแบบจะมีตัวยาที่มีสรรพคุณคล้ายคลึงกัน แต่ยารักษาปลาโดยตรงนั้นจะมีสูตรที่ทำให้ละลายน้ำได้ดี และไม่มีส่วนประกอบอื่นๆที่ไม่จำเป็นในการรักษาปลา เพื่อลดปัญหาการเน่าเสียของน้ำ แต่ถ้าหากไม่สามารถหาได้ในเวลาที่จำเป็นที่ต้องใช้งาน การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในคนก็เป็นการเลือกหนึ่ง

การใช้ยาสำหรับรักษาปลาโดยตรง ใช้ยาชื่อ ยาเหลือง ตัวยาจะมีลักษณะเป็นผง ให้นำมาผสมกับน้ำในขวดแยกต่างหากก่อน โดยน้ำที่ได้จะมีสีเหลืองเข้ม พอผสมลงในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว สังเกตให้มีสีเหลืองใสพอประมาณ หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออก 1/3 ทุกๆวัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้กับคน ใช้ยาชื่อ Oxolinic Acid (ออคโอลินิค แอซิด) หรือถ้าหาไม่ได้ให้ใช้ Amoxicillin (อะม็อกซี่ซิลิน) แทนก็ได้ สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป โดยใช้อัตราส่วนตัวยา 30 มิลลิกรัม ต่อ น้ำ 1 ลิตร โดยตอนซื้อให้สอบถามกับทางเภสัชกรว่าใน 1 แคปซูลมีตัวยากี่มิลลิกรัม โดยให้นำตัวยาที่เป็นผงออกจากแคปซูล มาผสมกับน้ำให้ละลายดีก่อนแล้วจึงใส่ในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออกครึ่งนึงทุกๆ 2 วัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

การนำยาผสมกับอาหารปลา การเป็นวิธีการรักษาอีกแบบ ซึ่งให้ผลค่อนข้างดี เพราะปลาจะได้รับยาโดยตรง แต่เหมาะกับปลาที่ยังกินอาหารได้ดีอยู่ ขั้นตอนคือให้นำยา 1 แคปซูลมาแกะเอาแต่ผงยา แล้วผสมกับน้ำเล็กน้อยให้ละลายหมด นำน้ำยาที่ได้มาผสมกับอาหารปลา โดยกะปริมาณว่ายา 1 แคปซูลต่ออาหารที่ปลาจะกินหมดใน 3 วัน หลังจากคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้ว ให้นำไปตากลมให้แห้งดี แล้วจึงนำมาให้ปลากิน โดยแบ่งให้วันละ 2 มื้อ เช้า-เย็นในปริมาณที่ไม่มากนัก โดยสังเกตให้ปลากินหมดให้เราเห็น ถ้าเหลือลอยอยู่ก็ให้ช้อนออกเพื่อกันน้ำเสีย

ในระหว่างที่ปลาอยู่ระหว่างการรักษาและพักฟื้นนั้น ปลาจะกินอาหารน้อยลงมาก ควรงดหรือให้อาหารในปริมาณที่น้อยกว่าปรกติ อย่าให้เหลือลอยคาอยู่ในอ่าง เพื่อลดปัญหาน้ำเน่าเสีย ดูแลอุณหภูมิน้่ำที่คงที่และไม่เย็นจนเกินไปก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เราควรที่จะนำอ่างพักปลามาให้โดนแดดในตอนเช้าบ้าง เพื่อกระตุ้นกระบวนการรักษาของตัวปลาให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำร้อนเกินไปด้วย และอย่าลืมเตรียมพักน้ำไว้ล่วงหน้าให้มีปริมาณที่เพียงพออยู่เสมอ
 


ที่มาของภาพ
ขอบคุณคุณ roanglex จาก https://aqua.c1ub.net/

อ่างพยาบาล สิ่งจำเป็นสำหรับปลาป่วย


สำหรับการรักษาปลาป่วยนั้น สิ่งที่จำเป็นมากๆคือการแยกปลาออกมาอยู่ในอ่างหรือภาชนะต่างหาก ซึ่งมีข้อดีดังต่อไปนี้

1. เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังปลาตัวอื่นๆในตู้หรือบ่อเดิม
2. ยังช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณยาที่ใช้ได้เป็นอย่างเหมาะสม
3. ป้องการปลาจากการถูกทำร้ายจากปลาตัวอื่น
4. สามารถเปลี่ยนน้ำได้อย่างง่ายและรวดเร็ว

ขั้นตอนการเตรียมอ่างพยาบาล
                1. เตรียมอ่างหรือกาละมัง ในขนาดที่เหมาะสม โดยให้ปลาสามารถว่ายได้อย่างไม่อึดอัด โดยควรใส่น้ำให้สูงกว่าตัวปลาเล็กน้อย 
                2. ใส่น้ำที่ทำการพักคลอลีนไว้แล้ว
                3. เปิด ปั๊มออกซิเจน ไว้ตลอดเวลา
                4. เตรียมน้ำสำรองไว้ล่วงหน้า เพราะช่วงพยาบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ
                5. การผสมยา หากเป็นยาปฏิชีวนะ ควรมีแก้วสำหรับผสม
                6. หลังใช้อ่างเสร็จแล้ว ควรแช่อ่าง และอุปกรณ์ต่างๆด้วยเกลือหรือด่างทับทิมเข้มข้นเพื่อป้องการการติดเชื้อจากอุปกรณ์      

ข้อควรระวัง : ควรตั้งอ่างพยาบาลในจุดที่เหมาะสม ปลอดภัยจากสัตว์อื่นในบ้านเช่นแมวหรือสุนัข และควรหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนแดดจัด หรือจัดที่อับลม เพราะจะส่งผลให้อุณหภูมิน้ำสูงเกินไปได้

การเปลี่ยนน้ำในระหว่างการรักษา
    เนื่องจากในช่วงที่ปลารักษาตัวอยู่นั้น จะมีการขับเมือกออกมาตามธรรมชาติ จึงทำให้น้ำเสียได้ง่าย  โดยสังเกตุไดจากกลิ่น ความใสของน้ำ และฟองสะสมบริเวณผิวน้ำ เราจึงควรถ่ายน้ำเดิมออกบ้าง ด้วยการตักน้ำเดิมออกบางส่วน และใส่น้ำใหม่ที่พักไว้แล้วลงในอ่างแทน และต้องไม่ลืมเติมยาลงไปในปริมาณที่เหมาะสมด้วย

27 กุมภาพันธ์ 2561

วิธีรักษาโรคตัวเปื่อย



ชื่อโรค : โรคตัวเปื่อย

อาการ : บริเวณปลายทาง-คลีบ เป็นขุยขาว ลักษณะเปื่อยยุ่ย , ปลามีอาการเซื่องซึม ไม่ว่าย กินอาหารน้อยลง และหลบเข้ามุม

สาเหตุ : น้ำสกปรกหมักหมมเป็นเวลานาน, ติดเชื้อจากตัวอื่นที่เป็นอยู่ก่อน

ขั้นตอนการรักษา : 
1. เตรียมน้ำ (ที่พักไว้แล้ว) ในภาชนะแยก เพื่อความสะดวกแนะนำให้ใช้กาละมัง ปริมาณพอสมควร โดยให้ระดับน้ำสูงกว่าตัวปลานิดหน่อย เพื่อลดความดัน ในกรณีที่ปลาเริ่มว่ายไม่สะดวก
2. เตรียม ปั๊มออกซิเจน ช่วงที่ปลารักษาตัว อ็อกซิเจนสำคัญมาก ควรเปิดให้แรงกว่าปรกติ แต่ต้องระวังไม่ให้กระทบกับตัวปลา
3. ปรับสภาพน้ำด้วยเกลือสมุทรเล็กน้อย โดยใส่ประมาณ 1/2 ช้อนชาต่อน้ำ 2 ลิตร 
4. การเตรียมยา เราสามารถใช้ยาได้ 2 ประเภท คือยาที่ใช้รักษาปลาโดยตรง กับยาฆ่าปฏิชีวนะสำหรับคน ซึ่งทั้งสองแบบจะมีตัวยาที่มีสรรพคุณคล้ายคลึงกัน แต่ยารักษาปลาโดยตรงนั้นจะมีสูตรที่ทำให้ละลายน้ำได้ดี และไม่มีส่วนประกอบอื่นๆที่ไม่จำเป็นในการรักษาปลา เพื่อลดปัญหาการเน่าเสียของน้ำ แต่ถ้าหากไม่สามารถหาได้ในเวลาที่จำเป็นที่ต้องใช้งาน การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในคนก็เป็นการเลือกหนึ่ง

การใช้ยาสำหรับรักษาปลาโดยตรง ใช้ยาชื่อ ยาเหลือง ตัวยาจะมีลักษณะเป็นผง ให้นำมาผสมกับน้ำในขวดแยกต่างหากก่อน โดยน้ำที่ได้จะมีสีเหลืองเข้ม พอผสมลงในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว สังเกตให้มีสีเหลืองใสพอประมาณ หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออก 1/3 ทุกๆวัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม



การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้กับคน ใช้ยาชื่อ "เตตราซัยคลิน" (ยาฆ่าเชื้อ,ยาแก้อักเสบ) สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป โดยใช้อัตราส่วนตัวยา 30 มิลลิกรัม ต่อ น้ำ 1 ลิตร โดยตอนซื้อให้สอบถามกับทางเภสัชกรว่าใน 1 แคปซูลมีตัวยากี่มิลลิกรัม โดยให้นำตัวยาที่เป็นผงออกจากแคปซูล มาผสมกับน้ำให้ละลายดีก่อนแล้วจึงใส่ในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออกครึ่งนึงทุกๆ 2 วัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

การนำยาผสมกับอาหารปลา การเป็นวิธีการรักษาอีกแบบ ซึ่งให้ผลค่อนข้างดี เพราะปลาจะได้รับยาโดยตรง แต่เหมาะกับปลาที่ยังกินอาหารได้ดีอยู่ ขั้นตอนคือให้นำยา 1 แคปซูลมาแกะเอาแต่ผงยา แล้วผสมกับน้ำเล็กน้อยให้ละลายหมด นำน้ำยาที่ได้มาผสมกับอาหารปลา โดยกะปริมาณว่ายา 1 แคปซูลต่ออาหารที่ปลาจะกินหมดใน 3 วัน หลังจากคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้ว ให้นำไปตากลมให้แห้งดี แล้วจึงนำมาให้ปลากิน โดยแบ่งให้วันละ 2 มื้อ เช้า-เย็นในปริมาณที่ไม่มากนัก โดยสังเกตให้ปลากินหมดให้เราเห็น ถ้าเหลือลอยอยู่ก็ให้ช้อนออกเพื่อกันน้ำเสีย

ในระหว่างที่ปลาอยู่ระหว่างการรักษาและพักฟื้นนั้น ปลาจะกินอาหารน้อยลงมาก ควรงดหรือให้อาหารในปริมาณที่น้อยกว่าปรกติ อย่าให้เหลือลอยคาอยู่ในอ่าง เพื่อลดปัญหาน้ำเน่าเสีย ดูแลอุณหภูมิน้่ำที่คงที่และไม่เย็นจนเกินไปก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เราควรที่จะนำอ่างพักปลามาให้โดนแดดในตอนเช้าบ้าง เพื่อกระตุ้นกระบวนการรักษาของตัวปลาให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำร้อนเกินไปด้วย และอย่าลืมเตรียมพักน้ำไว้ล่วงหน้าให้มีปริมาณที่เพียงพออยู่เสมอ
 
( Photo credit : here )