แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แสดงทั้งหมด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แสดงทั้งหมด แสดงบทความทั้งหมด

25 กุมภาพันธ์ 2568

น้ำในตู้ปลาต้องดูแลอย่างไรให้ใสสะอาดอยู่เสมอ?


การดูแลน้ำในตู้ปลาให้ใสสะอาดอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อสุขภาพของปลาและความสวยงามของตู้ปลา นี่คือแนวทางที่ช่วยให้น้ำใสสะอาด

1. ระบบกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพ

- เลือกใช้ กรองที่เหมาะสม กับขนาดตู้ปลา เช่น กรองฟองน้ำ กรองแขวน หรือกรองนอกตู้

- ทำความสะอาดไส้กรอง เป็นประจำ แต่ก็ไม่ล้างจนสะอาดเกินไป เพราะจะทำลายแบคทีเรียที่มีประโยชน์

24 กุมภาพันธ์ 2568

เลี้ยงปลาสวยงามต้องเริ่มต้นอย่างไร ?

 
การเลี้ยงปลาสวยงามสำหรับมือใหม่

การเลี้ยงปลาสวยงามเป็นงานอดิเรกที่ให้ความเพลิดเพลินและช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในบ้านหรือที่ทำงาน อย่างไรก็ตาม การเริ่มต้นเลี้ยงปลาให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดปลา ระบบน้ำ อุปกรณ์ที่จำเป็น และการดูแลรักษาที่เหมาะสม

1. การเลือกชนิดปลาที่ต้องการเลี้ยง

ก่อนเริ่มเลี้ยงปลาสวยงาม ควรเลือกชนิดปลาที่เหมาะสมกับความสามารถในการดูแลและสภาพแวดล้อมของผู้เลี้ยง โดยพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้:

19 มิถุนายน 2561

อุณหภูมิน้ำสำคัญขนาดไหน


หลายคนคงเคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตายกันมาบ้าง เรามาดูกันว่าคำว่าน้ำร้อนน้ำเย็นนั้น ต้องร้อนหรือเย็นแค่ไหนถึงจะเหมาะกับการเลี้ยงปลาสวยงาม

อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาสวยงามคืออยู่ระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่ปลาสามารถดำรงค์ชีวิตได้ดี สามารถกินอาหารที่ขับถ่ายได้ดี

โดยทั่วไปแล้วบ้านเราซึ่งเป็นเมืองร้อน อุณหภูมิน้ำมักจะมีการขึ้นลงตามสภาพแวดล้อม คือร้อนมากในช่วงเวลากลางวัน และลดลงในเวลากลางคืน เราจึงควรเลี้ยงปลาในที่ที่มีการถ่ายเทอากาศสะดวก ไม่ร้อน หรืออับลมมากจนเกินไป ไม่ควรตั้งตู้ปลาหรืออ่างปลาให้รับแสงแดดตอนกลางวันโดยตรงเพราะจะทำให้อุณหภูมิยิ่งสูงขึ้นเป็นทวีคูณเกินได้ 

ขั้นตอนการปรับสภาพบ่อปูนซีเมนต์สำหรับเลี้ยงปลา


โดยทั่วไปแล้ว การก่อสร้างบ่อปลานั้น นิยมใช้การก่อขึ้นรูปปูนซีเมนต์ ซึ่งมีส่วนผสมของซีเมนต์เป็นวัสดุหลัก แต่เนื่องจากปูนซีเมนต์นั้นมีฤทธิ์เป็นด่างสูง ซึ่งเป็นอันตรายหากจะปล่อยปลาลงในทันที แต่เราสามารถปรับสภาพของบ่อปูนซีเมนต์ให้มีความเป็นกลางเพื่อให้สามารถเลี้ยงปลาได้ง่ายๆ โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. ลองขังน้ำเพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจว่าบ่อไม่มีการรั่วซึม
2. ทำการล้างบ่อให้สะอาดด้วยน้ำจำนวนมาก เพื่อชะล้างเอาเศษปูนออกให้มากที่สุด
3. เต็มน้ำให้เต็มขอบบ่อ แล้วใส่น้ำส้มสายชู โดยมีอัตราส่วน น้ำส้มสายชู 1 ลิตร ต่อ น้ำ 1 ตัน
4. แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 3-5 วัน หรือเพื่อความแน่นอนควรรอประมาณ 7 วัน แล้วถ่ายน้ำออก ในขั้นตอนนี้หากเราสามารถหาต้นกล้วย (เฉพาะลำต้น) หรือผักตบชวา, ดอกจอก สามารถนำมาแช่ร่วมได้
5. ล้างให้สะอาดอีกครั้ง จนไม่ได้กลิ่นของน้ำส้มสายชู แล้วเติมน้ำใหม่ในเต็มขอบบ่ออีกครั้ง แล้วรออย่างน้อย 1 วัน
6. วัดค่า pH โดยให้ค่าอยู่ที่ระหว่าง 6.8-8.5 (เป็นสีเขียว)
7. เพื่อความแน่นอนแนะนำให้ล้างออกแล้วใส่น้ำใหม่อีกครั้ง
8. ก่อนจะลงปลา หากเป็นไปได้ควรนำปลาเหยื่อ หรือปลาขนาดเล็ก มาทดลองปล่อยดูก่อนเพื่อสังเกตุอาการว่ามีอาการผิดปรกติใดๆ โดยถ้าหากค่าปูนยังสูงอยู่ ปลาจะซึม และมีเมือกเกาะรอบตัวคล้ายอาการตัวเปื่อย ให้รีบย้ายปลาออก และแช่น้ำส้มสายชูต่อไป

อาหารสูตรเร่งสี เร่งโต


อาหารสูตรเร่งสี เร่งโต

1. อาหารประเภทลอยน้ำที่มีโปรตีนสูง 1 กิโลกรัม
   ( แนะนำอาหารกบ HighGrade สูตรโปรตีน 40%) 
2. สารอาหาร “พิงค์ (Pink)” 5 – 10 กรัม 
3. ไคโตซาน 1 มิลลิลิตร
4. วิตามินรวม 1 กรัม
5. น้ำเปล่า 10 มิลลิลิตร (ประมาณ 10 % ของน้ำหนักอาหาร)
6. น้ำมันสำหรับหมัก 2 มิลลิลิตร

ขั้นตอน นำน้ำเปล่า (5) มาละลาย พิงค์ (2), ไคโตซาน (3) และ วิตามินรวม (4) โดยผสมให้ละลายหมดดี โดยอาจจะใช้น้ำซักครึ่งส่วนก่อนแล้วค่อยๆเติมให้เหมาะสม หลังจากนั้นให้นำมาพรมใส่อาหาร (1) แล้วคลุกไปเรื่อยให้เข้ากันดี แต่ระวังอย่าให้เละ แนะนำให้สวมถุงมือ แล้วคลุกแบบเบามือ จะได้ผลดีกว่าคลุกด้วยช้อน แล้วจึงนำไปผึ่งลมให้แห้งสนิท แต่ไม่ควรนำไปตากแดดเพราะจะทำให้วิตามินรวมเสื่อมคุณภาพ หลังจากนั้นให้นำมาคลุกด้วย น้ำมันสำหรับหมัก (6) แล้วผึ่งลมให้แห้งดีอีกครั้งเป็นอันเสร็จ

เกล็ดฆ่าคลอลีน (ไฮโปร)


เกล็ดฆ่าคลอลีน [ลักษณะและการใช้งาน]
มีลักษณะเป็นเกล็ดสีใส มีคุณสมบัติในการกำจัดคลอลีนในน้ำประปา ปรับสมดุลของน้ำ สามารถละลายในน้ำได้อย่างรวดเร็วและสามารถออกฤทธิ์ได้ทันที โดยมีอัตราส่วนในการใช้คือ ไฮโปร 1 กรัม ต่อน้ำ 300 ลิตร หรือง่ายๆคือใช้ ไฮโปร 1 เกล็ด ต่อน้ำ 10 ลิตร (เป็นอัตราส่วนโดยประมาณ) โดยหลังจากใส่ไฮโปรแล้ว ควรคนน้ำให้เข้ากันเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ละลายได้ทั่วถึง หลังจากนั้นรอประมาณ 5 นาทีก็สามารถปล่อยปลาได้เลย

แต่มีข้อพึงระวังว่า ไม่ควรใช้ไฮโปรเป็นประจำที่ต้องการเปลี่ยนน้ำใหม่ เพราะเมื่อไฮโปรทำปฏิกิริยากับคลอลีนในน้ำประปาแล้ว จะเกิดเป็นเกล็ดเกลือ ซึ่งจะทำให้น้ำมีความเค็ม และมีผลโดยตรงกับไตของปลา และจะเข้าไปเคลือบกับเหงือกของปลาทำให้ปลาป่วยได้หากใช้ในระยะยาว ดังนั้น ควรใช้ไฮโปรเป็นครั้งคราวในกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถพักน้ำได้จริงๆ โดยหากต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ แต่ไม่สามารถพักน้ำได้ แนะนำให้ใช้เป็นเครื่องกรองคลอลีนจะดีกว่า

คำเตือน เกล็ดฆ่าคลอลีนเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ควรเก็บรักษาให้พ้นมือเด็ก

Photo Credit : Here

ปลาทองหงายท้องทำยังไงดี


ชื่อโรค : ปลาหงายท้อง ( สูญเสียการทรงตัว - ถุงลมอักเสบ )

อาการ : ปลาสูญเสียการทรงตัว ไม่สามารถว่ายได้ตามปรกติ จนถึงขั้น ตีลังกา หงายท้อง

สาเหตุ : อาการปลาสวยงามว่ายหงายท้องมักเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากที่สุด โดยเฉพาะมักจะเกิดมากกับปลาทอง หรือปลาที่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วนใหญ่ โดยสาเหตุนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น

1. การอักเสบหรือติบตันของถุงลมในตัวปลา
2. การอักเสบ , เกิดก๊าซ หรืออาหารไม่ย่อยภายในกระเพาะอาหารของปลา
3. การถูกทำร้าย หรือการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง
4. และมักเกิดมากกับปลาที่มีอายุมาก และอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตแล้ว

ขั้นตอนการรักษา : ทั้งนี้การที่จะรักษาให้หายนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และระยะเวลาที่เป็นมา โดยหากสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแต่เริ่มแรก คือเริ่มมีอาการว่ายผิดปกติ มีอาการหมุนตัวตีลังกาได้ง่าย แต่ยังสามารถว่ายกลับมาในท่าปกติได้ ก็จะสามารถรักษาได้ง่าย

เนื่องจากปลาที่มีอาการป่วยนี้จะมีสภาพร่างกายอ่อนแอมาก บางตัวไม่สามารถกินอาหารได้เอง จึงควรแยกเขาออกมาเลี้ยงในอ่างพยาบาลตามลำพัง เพื่อสะดวกในการดูแลอาการและเปลี่ยนน้ำ

1. เตรียมอ่างพยาบาลที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยพอให้ปลาว่ายได้สะดวก มีปริมาณน้ำที่ไม่ลึกมาก
2. เปิด ปั๊มออกซิเจน เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำให้เพียงพออยู่เสมอ
3. ใส่ ยาเหลือง เพื่อช่วยลดอาการอักเสบหรืออาการติดเชื้อในตัวปลา
4. ปรับสภาพน้ำด้วยเกลือสมุทรเล็กน้อย โดยใส่ประมาณ 1/2 ช้อนชาต่อน้ำ 2 ลิตร 
5. ในช่วงการรักษาให้งดอาหารทั้งหมด โดยเริ่มให้เล็กน้อยเมื่ออาการทรงตัวมากขึ้น (ปลาสวยงามทั่วไปสามารถงดอาหารได้หลายวัน)
วิธีใช้  ยาเหลืองตัวยาจะมีลักษณะเป็นผง ให้นำมาผสมกับน้ำในขวดแยกต่างหากก่อน โดยน้ำที่ได้จะมีสีเหลืองเข้ม พอผสมลงในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว สังเกตให้มีสีเหลืองใสพอประมาณ หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออก 1/3 ทุกๆวัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

ทั้งนี้หากรักษาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือทรุดลง อาจจำเป็นที่จะต้องให้สัตว์แพทย์เป็นผู้วิเคราะห์ถึงสาเหตุหรือแนวทางการรักษาโดยละเอียด เช่นทำการเจาะระบายถุงลมให้สมดุล ถึงอย่างไรก็ตามวิธีนี้เหล่านี้ก็ไม่สามารถการันตีว่าปลาจะกลับมาว่ายได้เหมือนเดิม แต่ก็จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของปลาดีขึ้น โดยโรงพยาบาลสัตว์ที่รับรักษานั้นมีที่

หน่วยปฏิบัติการวิจัยสัตว์น้ำสวยงามและสัตว์น้ำเพื่อการอนุรักษ์
ตึก 60 ปี ชั้น 2 คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330
โทร 02-218-9510 โทรสาร 02-251-8887
เวลาทำการ  :
วันจันทร์ - วันศุกร์    เปิดให้บริการ    09.00 - 16.00 น.  ปิดรับ 15.30 น.
คลีนิคพิเศษวันเสาร์   เปิดให้บริการ    09.00 - 12.00 น.  ปิดรับ 11.30 น.

หน่วยสัตว์น้ำโรงพยาบาลสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน
ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ตรวจวินิจฉัย และรักษาปลา ทางด้านอายุรกรรมและศัลยกรรม รวมถึงการตรวจคุณภาพน้ำ
โทร 0-2942-8756-59 ต่อ 2118
เวลาทำการ :
วันจันทร์  - พฤหัสบดี    เปิดให้บริการ 08.30-15.30 น.
วันศุกร์                    เปิดให้บริการ 08.30-11.00 น.

ค่าใช้จ่ายประมาณ 1,500 บาท

ที่มาของภาพ : https://aqua.c1ub.net/

โรคเกล็ดพอง ท้องมาน-ท้องบวม




ชื่อโรค : โรคเกล็ดพอง ท้องมาน-ท้องบวมตัวเปื่อย

อาการ : บริเวณปลายทาง-คลีบ เป็นขุยขาว ลักษณะเปื่อยยุ่ย , ปลามีอาการเซื่องซึม ไม่ว่าย กินอาหารน้อยลง และหลบเข้ามุมซึ่งอาการเริ่มต้นของโรคนี้เป็นอาการที่สังเกตุได้ยาก เพราะในระยะแรกจะเหมือนกับปลาอ้วนถ้วนสมบูรณ์ดี แต่ก็มีหลักในการมองง่ายๆคือให้สังเกตุที่เกล็ดของปลา เพราะโดยปรกติแล้วปลาสุขภาพดีจะมีเกล็ดที่เรียงกันอย่างสม่ำเสมอ เป็นระเบียบ และจะต้องปกคลุมผิวหนังของปลาได้หมด แต่ถ้าเกล็ดเริ่มถ่างออก ไม่เป็นระเบียบ มีระยะห่างระหว่างเกล็ดมากขึ้น หรือมองเห็นผิวหนังของปลาได้ แสดงว่าปลาเริ่มป่วยแล้ว นอกจากนั้นมีอาการอื่นๆอีกเช่น อ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว ว่ายไม่ตรง จมลงก้นตู้บ่อยครั้ง ไม่ว่ายน้ำ เซื่องซึม และกินได้น้อยลง เป็นต้น

สาเหตุ : สำหรับสาเหตุนั้นสันนิฐานว่าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบททีเรียในน้ำ เนื่องมาจากการให้อาหารมากเกินไป และดูแลคุณภาพน้ำได้ไม่ดี ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำที่เน่าเสียเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดการติดเชื้อในลำไส้ของปลา หรือบางกรณีที่ใส่เกลือในน้ำมากจนเกินไป ส่งผลโดยตรงต่อไตของปลา ทำให้เกิดการบวมน้ำ จนท้องบวมขึ้นมาได้ 

ขั้นตอนการรักษา

1. เตรียมน้ำ (ที่พักไว้แล้ว) ในภาชนะแยก เพื่อความสะดวกแนะนำให้ใช้กาละมัง ปริมาณพอสมควร โดยให้ระดับน้ำสูงกว่าตัวปลานิดหน่อย เพื่อลดความดัน ในกรณีที่ปลาเริ่มว่ายไม่สะดวก
2. เตรียม ปั๊มออกซิเจน ช่วงที่ปลารักษาตัว อ็อกซิเจนสำคัญมาก ควรเปิดให้แรงกว่าปรกติ แต่ต้องระวังไม่ให้กระทบกับตัวปลา
3. ปรับสภาพน้ำด้วยเกลือสมุทรเล็กน้อย โดยใส่ประมาณ 1/2 ช้อนชาต่อน้ำ 2 ลิตร 
4. การเตรียมยา เราสามารถใช้ยาได้ 2 ประเภท คือยาที่ใช้รักษาปลาโดยตรง กับยาฆ่าปฏิชีวนะสำหรับคน ซึ่งทั้งสองแบบจะมีตัวยาที่มีสรรพคุณคล้ายคลึงกัน แต่ยารักษาปลาโดยตรงนั้นจะมีสูตรที่ทำให้ละลายน้ำได้ดี และไม่มีส่วนประกอบอื่นๆที่ไม่จำเป็นในการรักษาปลา เพื่อลดปัญหาการเน่าเสียของน้ำ แต่ถ้าหากไม่สามารถหาได้ในเวลาที่จำเป็นที่ต้องใช้งาน การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในคนก็เป็นการเลือกหนึ่ง

การใช้ยาสำหรับรักษาปลาโดยตรง ใช้ยาชื่อ ยาเหลือง ตัวยาจะมีลักษณะเป็นผง ให้นำมาผสมกับน้ำในขวดแยกต่างหากก่อน โดยน้ำที่ได้จะมีสีเหลืองเข้ม พอผสมลงในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว สังเกตให้มีสีเหลืองใสพอประมาณ หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออก 1/3 ทุกๆวัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้กับคน ใช้ยาชื่อ Oxolinic Acid (ออคโอลินิค แอซิด) หรือถ้าหาไม่ได้ให้ใช้ Amoxicillin (อะม็อกซี่ซิลิน) แทนก็ได้ สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป โดยใช้อัตราส่วนตัวยา 30 มิลลิกรัม ต่อ น้ำ 1 ลิตร โดยตอนซื้อให้สอบถามกับทางเภสัชกรว่าใน 1 แคปซูลมีตัวยากี่มิลลิกรัม โดยให้นำตัวยาที่เป็นผงออกจากแคปซูล มาผสมกับน้ำให้ละลายดีก่อนแล้วจึงใส่ในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออกครึ่งนึงทุกๆ 2 วัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

การนำยาผสมกับอาหารปลา การเป็นวิธีการรักษาอีกแบบ ซึ่งให้ผลค่อนข้างดี เพราะปลาจะได้รับยาโดยตรง แต่เหมาะกับปลาที่ยังกินอาหารได้ดีอยู่ ขั้นตอนคือให้นำยา 1 แคปซูลมาแกะเอาแต่ผงยา แล้วผสมกับน้ำเล็กน้อยให้ละลายหมด นำน้ำยาที่ได้มาผสมกับอาหารปลา โดยกะปริมาณว่ายา 1 แคปซูลต่ออาหารที่ปลาจะกินหมดใน 3 วัน หลังจากคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้ว ให้นำไปตากลมให้แห้งดี แล้วจึงนำมาให้ปลากิน โดยแบ่งให้วันละ 2 มื้อ เช้า-เย็นในปริมาณที่ไม่มากนัก โดยสังเกตให้ปลากินหมดให้เราเห็น ถ้าเหลือลอยอยู่ก็ให้ช้อนออกเพื่อกันน้ำเสีย

ในระหว่างที่ปลาอยู่ระหว่างการรักษาและพักฟื้นนั้น ปลาจะกินอาหารน้อยลงมาก ควรงดหรือให้อาหารในปริมาณที่น้อยกว่าปรกติ อย่าให้เหลือลอยคาอยู่ในอ่าง เพื่อลดปัญหาน้ำเน่าเสีย ดูแลอุณหภูมิน้่ำที่คงที่และไม่เย็นจนเกินไปก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เราควรที่จะนำอ่างพักปลามาให้โดนแดดในตอนเช้าบ้าง เพื่อกระตุ้นกระบวนการรักษาของตัวปลาให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำร้อนเกินไปด้วย และอย่าลืมเตรียมพักน้ำไว้ล่วงหน้าให้มีปริมาณที่เพียงพออยู่เสมอ
 


ที่มาของภาพ
ขอบคุณคุณ roanglex จาก https://aqua.c1ub.net/

อ่างพยาบาล สิ่งจำเป็นสำหรับปลาป่วย


สำหรับการรักษาปลาป่วยนั้น สิ่งที่จำเป็นมากๆคือการแยกปลาออกมาอยู่ในอ่างหรือภาชนะต่างหาก ซึ่งมีข้อดีดังต่อไปนี้

1. เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังปลาตัวอื่นๆในตู้หรือบ่อเดิม
2. ยังช่วยให้เราสามารถควบคุมปริมาณยาที่ใช้ได้เป็นอย่างเหมาะสม
3. ป้องการปลาจากการถูกทำร้ายจากปลาตัวอื่น
4. สามารถเปลี่ยนน้ำได้อย่างง่ายและรวดเร็ว

ขั้นตอนการเตรียมอ่างพยาบาล
                1. เตรียมอ่างหรือกาละมัง ในขนาดที่เหมาะสม โดยให้ปลาสามารถว่ายได้อย่างไม่อึดอัด โดยควรใส่น้ำให้สูงกว่าตัวปลาเล็กน้อย 
                2. ใส่น้ำที่ทำการพักคลอลีนไว้แล้ว
                3. เปิด ปั๊มออกซิเจน ไว้ตลอดเวลา
                4. เตรียมน้ำสำรองไว้ล่วงหน้า เพราะช่วงพยาบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยๆ
                5. การผสมยา หากเป็นยาปฏิชีวนะ ควรมีแก้วสำหรับผสม
                6. หลังใช้อ่างเสร็จแล้ว ควรแช่อ่าง และอุปกรณ์ต่างๆด้วยเกลือหรือด่างทับทิมเข้มข้นเพื่อป้องการการติดเชื้อจากอุปกรณ์      

ข้อควรระวัง : ควรตั้งอ่างพยาบาลในจุดที่เหมาะสม ปลอดภัยจากสัตว์อื่นในบ้านเช่นแมวหรือสุนัข และควรหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนแดดจัด หรือจัดที่อับลม เพราะจะส่งผลให้อุณหภูมิน้ำสูงเกินไปได้

การเปลี่ยนน้ำในระหว่างการรักษา
    เนื่องจากในช่วงที่ปลารักษาตัวอยู่นั้น จะมีการขับเมือกออกมาตามธรรมชาติ จึงทำให้น้ำเสียได้ง่าย  โดยสังเกตุไดจากกลิ่น ความใสของน้ำ และฟองสะสมบริเวณผิวน้ำ เราจึงควรถ่ายน้ำเดิมออกบ้าง ด้วยการตักน้ำเดิมออกบางส่วน และใส่น้ำใหม่ที่พักไว้แล้วลงในอ่างแทน และต้องไม่ลืมเติมยาลงไปในปริมาณที่เหมาะสมด้วย

27 กุมภาพันธ์ 2561

วิธีรักษาโรคตัวเปื่อย



ชื่อโรค : โรคตัวเปื่อย

อาการ : บริเวณปลายทาง-คลีบ เป็นขุยขาว ลักษณะเปื่อยยุ่ย , ปลามีอาการเซื่องซึม ไม่ว่าย กินอาหารน้อยลง และหลบเข้ามุม

สาเหตุ : น้ำสกปรกหมักหมมเป็นเวลานาน, ติดเชื้อจากตัวอื่นที่เป็นอยู่ก่อน

ขั้นตอนการรักษา : 
1. เตรียมน้ำ (ที่พักไว้แล้ว) ในภาชนะแยก เพื่อความสะดวกแนะนำให้ใช้กาละมัง ปริมาณพอสมควร โดยให้ระดับน้ำสูงกว่าตัวปลานิดหน่อย เพื่อลดความดัน ในกรณีที่ปลาเริ่มว่ายไม่สะดวก
2. เตรียม ปั๊มออกซิเจน ช่วงที่ปลารักษาตัว อ็อกซิเจนสำคัญมาก ควรเปิดให้แรงกว่าปรกติ แต่ต้องระวังไม่ให้กระทบกับตัวปลา
3. ปรับสภาพน้ำด้วยเกลือสมุทรเล็กน้อย โดยใส่ประมาณ 1/2 ช้อนชาต่อน้ำ 2 ลิตร 
4. การเตรียมยา เราสามารถใช้ยาได้ 2 ประเภท คือยาที่ใช้รักษาปลาโดยตรง กับยาฆ่าปฏิชีวนะสำหรับคน ซึ่งทั้งสองแบบจะมีตัวยาที่มีสรรพคุณคล้ายคลึงกัน แต่ยารักษาปลาโดยตรงนั้นจะมีสูตรที่ทำให้ละลายน้ำได้ดี และไม่มีส่วนประกอบอื่นๆที่ไม่จำเป็นในการรักษาปลา เพื่อลดปัญหาการเน่าเสียของน้ำ แต่ถ้าหากไม่สามารถหาได้ในเวลาที่จำเป็นที่ต้องใช้งาน การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้ในคนก็เป็นการเลือกหนึ่ง

การใช้ยาสำหรับรักษาปลาโดยตรง ใช้ยาชื่อ ยาเหลือง ตัวยาจะมีลักษณะเป็นผง ให้นำมาผสมกับน้ำในขวดแยกต่างหากก่อน โดยน้ำที่ได้จะมีสีเหลืองเข้ม พอผสมลงในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว สังเกตให้มีสีเหลืองใสพอประมาณ หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออก 1/3 ทุกๆวัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม



การใช้ยาปฏิชีวนะที่ใช้กับคน ใช้ยาชื่อ "เตตราซัยคลิน" (ยาฆ่าเชื้อ,ยาแก้อักเสบ) สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป โดยใช้อัตราส่วนตัวยา 30 มิลลิกรัม ต่อ น้ำ 1 ลิตร โดยตอนซื้อให้สอบถามกับทางเภสัชกรว่าใน 1 แคปซูลมีตัวยากี่มิลลิกรัม โดยให้นำตัวยาที่เป็นผงออกจากแคปซูล มาผสมกับน้ำให้ละลายดีก่อนแล้วจึงใส่ในภาชนะที่เตรียมน้ำไว้แล้ว หลังจากนั้นให้สังเกตอาการ และให้ถ่ายน้ำออกครึ่งนึงทุกๆ 2 วัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี และอย่าลืมผสมยาเพิ่มในอัตราส่วนที่เหมาะสม

การนำยาผสมกับอาหารปลา การเป็นวิธีการรักษาอีกแบบ ซึ่งให้ผลค่อนข้างดี เพราะปลาจะได้รับยาโดยตรง แต่เหมาะกับปลาที่ยังกินอาหารได้ดีอยู่ ขั้นตอนคือให้นำยา 1 แคปซูลมาแกะเอาแต่ผงยา แล้วผสมกับน้ำเล็กน้อยให้ละลายหมด นำน้ำยาที่ได้มาผสมกับอาหารปลา โดยกะปริมาณว่ายา 1 แคปซูลต่ออาหารที่ปลาจะกินหมดใน 3 วัน หลังจากคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้ว ให้นำไปตากลมให้แห้งดี แล้วจึงนำมาให้ปลากิน โดยแบ่งให้วันละ 2 มื้อ เช้า-เย็นในปริมาณที่ไม่มากนัก โดยสังเกตให้ปลากินหมดให้เราเห็น ถ้าเหลือลอยอยู่ก็ให้ช้อนออกเพื่อกันน้ำเสีย

ในระหว่างที่ปลาอยู่ระหว่างการรักษาและพักฟื้นนั้น ปลาจะกินอาหารน้อยลงมาก ควรงดหรือให้อาหารในปริมาณที่น้อยกว่าปรกติ อย่าให้เหลือลอยคาอยู่ในอ่าง เพื่อลดปัญหาน้ำเน่าเสีย ดูแลอุณหภูมิน้่ำที่คงที่และไม่เย็นจนเกินไปก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เราควรที่จะนำอ่างพักปลามาให้โดนแดดในตอนเช้าบ้าง เพื่อกระตุ้นกระบวนการรักษาของตัวปลาให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ต้องระวังอย่าให้น้ำร้อนเกินไปด้วย และอย่าลืมเตรียมพักน้ำไว้ล่วงหน้าให้มีปริมาณที่เพียงพออยู่เสมอ
 
( Photo credit : here )

30 กรกฎาคม 2556

วิธีการให้อาหารปลาสวยงามที่ถูกวิธี



สรุปสั้นๆ 
1. ต้องรู้ก่อนว่าปลาที่เราเลี้ยงกินอาหารแบบไหน สามารถให้อาหารปลาทั่วไปได้ไหม 
2. ปลาสวยงามส่วนใหญ่ สามารถให้อาหารเม็ด(ลอย) ได้เลย
3. อาหารควรให้วันละ 2 ครั้ง โดยแบ่งเป็นมื้อหลัก (ตอนเช้า) กับมื้อรอง (ตอนเย็น)
4. มื้อหลัก ให้เยอะกว่า มื้อรอง
5. อาหาร(เม็ด) ทุกมื้อที่ให้ควรให้ปลากินหมดภายใน 5 นาที ไม่ควรปล่อยให้เหลือลอย
6. ปลาสวยงาม อดอาหารได้ต่อเนื่องได้หลายวัน แต่ก็ไม่ควรอดบ่อย

-----------------------------------------------------------

คราวนี้จะขอต่อยอด จากที่เคยเล่าให้ฟังถึงสาเหตุที่ปลาตายเพราะให้อาหารมากเกินไปนั้น คราวนี้จะมาพูดถึงวิธีการให้อาหารปลาที่ถูกวิธีกันครับ แต่เนื่องจากปลาสวยงามที่หลายกลุ่ม หลายประเภทมาก มีทั้งกินอาหารเม็ด ไปจนถึงกินพวกสิ่งมีชีวิต ซึ่งวิธีการให้อาหารก็มีหลากหลายแบบตามไปด้วย

ผมเลยขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับปลาสวยงามทั่วไปที่เป็นที่นิยมเลี้ยง และกินอาหารเม็ดสำเร็จรูป อย่าง ปลาเงิน ปลาทอง ปลารักเร่ ปลาสอด ปลาบอลลูน ปลาเทวดา ปลาหางนกยูง รวมไปจนถึงปลาคราฟแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นเลย อาหารเม็ดตามท้องตลาดก็มีหลากหลายยี่ห้อ หลายจุดเด่น อย่างอาหารปลาซากุระ อาหารปลาซีพี อาหารปลาโตคิว ฯลฯ แต่ในแต่ละยี่ห้อ ก็มีหลากหลายชนิดที่เหมาะกันปลาแต่ละประเภท แต่ละขนาด ให้เราเลือก วิธีง่ายๆว่าควรซื้อแบบไหน หรือสอบถามจากผู้ขายปลาโดยตรงเลยครับ ว่ามันกินอะไร และอย่าลืมถามด้วยนะครับ ว่าควรให้เม็ดขนาดไหน เพราะในอาหารปลารุ่นเดียวกัน ก็มีหลากหลายขนาดของเม็ดอีก ทั้งเม็ดจิ๋ว เม็ดเล็ก ไปจนถึงเม็ดใหญ่ๆ

จากประสบการณ์ที่เลี้ยงและขายปลามามากกว่าสิบปีนั้น ผมมั่นใจว่า เราควรให้อาหารปลาไม่เกิน 2 มื้อต่อวันเท่านั้นครับ และควรดูให้มันกินให้หมดภายในเวลาประมาณ 5 นาทีด้วย โดยถ้าเหลือก็ให้ช้อนทิ้งไปครับ การให้อาหารปลาที่เยอะเกินความจำเป็นนั้น นอกจากจะทำให้น้ำเน่าเสียง่ายแล้ว ยังทำให้ปลาท้องอืดตายได้อีกด้วยครับ แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นที่มากับอาหารปลาคือเกลือครับ ในอาหารปลาจะมีเกลือผสมมาด้วยเล็กน้อย การที่ให้อาหารปลาเหลือลอยเยอะๆในตู้นั้น จะส่งผลให้น้ำเน่าเสีย และปลาเจ็บป่วยได้ง่ายอีกด้วยครับ

สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะให้อาหารปลา ของแบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา คือ

1. มื้อหลัก ควรให้ช่วงเช้าถึงสายๆ โดยให้ในปริมาณปรกติที่ปลาสามารถกินจนหมดได้ในเวลาประมาณ 5 นาที
2. มื้อรอง ควรเป็นเวลาช่วงเย็น ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน โดยให้ในปริมาณครึ่งนึงของมื้อหลัก และปลาจะต้องกินหมดในเวลา 5 นาทีเช่นกัน

และช่วงที่ไม่เหมาะจะให้อาหารปลาเลย คือช่วงกลางคืน เพราะถ้าเกิดเราให้อาหารปลาแล้วปิดไฟเข้านอน ปลาก็จะเข้านอนตามไปด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลให้อาหารในท้องที่เพิ่งกินเข้าไปนั้นอืด จนปลามีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย และทำให้ตายในที่สุดได้ครับ

สำหรับปลาที่เราให้อาหารเม็ดอยู่เป็นประจำ เราควรสลับให้เป็นพวกของสดบ้าง อย่างไรแดง ไรทะเล ลูกน้ำ หรือกลุ่มจำพวกพืชอย่างสาหร่าย ดอกจอก บ้าง เพื่อให้ปลามีสุขภาพดี และมีสีสรรที่สวยงามมากยิ่งขึ้นครับ

อาหารปลาโตคิว 20 กรัม ห่อละ 10 บาท

Photo Credit : Here

11 กรกฎาคม 2556

วิธีซ่อมตู้ปลาที่แตกร้าวด้วยกาวซีลีโคน


วิธีซ่อมตู้ปลาที่แตกร้าวด้วยกาวซีลีโคน

ก่อนอื่นของแนะนำให้รู้จักกับกาวซีลีโคนก่อนนะครับ โดยกาวซีลีโคนที่วางขายทั่วไปตามท้องตลาด จะมีสองแบบนะครับ คือแบบหลอด กับแบบแท่ง แบบหลอดจะไปหลอดคล้ายๆหลอดกาวยาง และสำหรับแบบแท่ง จะเป็นแท่งทรงกระบอกยาวประมาณฟุตกว่าๆ 
ต้องใช้ร่วมกับที่บีบ โดยแบบแท่งนั้นจะเน้นใช้เป็นอุตสาหกรรมมากกว่าครับ เพราะมีปริมาณมาก สำหรับการซ่อมแซมตู้ปลาตามบ้านเรือนนั้น ของแนะนำเป็นแบบหลอดแทนนะครับ สำหรับเนื้อซีลีโคนพอบีบออกมาจากหลอดแล้ว จะมีลักษณะขาวขุ่น เหนียวข้น ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องซักพักจะแข็งตัว เวลาใช้งานต้องวางแผนให้ดีเพื่อทำงานของเราเสร็จก่อนที่กาวจะแข็งตัวนะครับ

ที่นี้เรามาวิเคราะห์ตู้ที่มีปัญหาก่อนนะครับ ว่าจะสามารถซ่อมแซมได้ไหม ลักษณะที่ผมแนะนำว่าพอจะซ่อมได้คือ

1. มีปัญหาการซึมของน้ำโดยไม่พบรอยแตกร้าว

ปัญหานี้มักจะเกิดขึ้นมามุมของตู้ซึ่งเป็นรอยเชื่อมต่อของซิลิโคนครับ โดยขั้นแรกเราต้องหาให้ได้ก่อนว่ารั่วบริเวณจุดไหน วิธีง่ายๆคือเช็ดบริเวณภายนอกตู้ให้แห้งสนิทดีแล้ว ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์มาแปะไว้บริเวณที่้เราสงสัยว่าจะรั่ว เราจะเห็นรอยซึมของน้ำบนกระดาษหนังสือพิมพ์ได้อย่างชัดเจนครับ ซึ่งจุดนั้นๆจะเป็นจุดรั่วซึม

วิธีการคือ ในเราตากตู้ให้แห้งประมาณ 1 วันเป็นอย่างน้อยครับ ถ้าผิวกระจกของตู้มีคราบตะไคร่หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ก็ให้ทำความสะอาดให้ดีก่อน พอแห้งดีแล้ว ก็ใช้ซีลีโคนทาซ้ำลงไปบริเวณที่่รั่ว โดยให้เกินรอยซิลิโคนเดิมออกมาซักเล็กน้อย เราอาจใช้ไม้เล็กๆ อย่างไม้ไอศครีม ตกแต่งกาวในเรียบร้อยมากขึ้น ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง และทาซ้ำซักสองสามรอบ เพื่อความแน่ใจ แต่ไม่ควรบีบกาวให้เป็นชั้นหนามากเกินไปนะครับ เพราะจะเป็นการถ่วงน้ำหนักให้กาวหลุดล่อนได้ง่ายมากขึ้น และที่สำคัญ พอทากาวเสร็จแล้ว ควรทิ้งไว้ให้กาวเซทตัวและแห้ง ประมาณ 1 วันนะครับ แล้วถึงจะใส่น้ำได้

2. มีรอยแตกร้าว บริเวณมุมๆ ขอบๆ ไม่ใหญ่มาก

วิธีการคือ ในเราตากตู้ให้แห้งประมาณ 1 วันเป็นอย่างน้อยครับ ถ้าผิวกระจกของตู้มีคราบตะไคร่หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ก็ให้ทำความสะอาดให้ดีก่อน พอแห้งดีแล้ว ก็ใช้ซีลีโคนทาลงไปบริเวณที่่รั่ว โดยให้ลากซิลิโคนเป็นเส้นทับรอยแตกก่อน และทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นค่อยทากาวกว้างคลุมรอยแตกทั้งหมด และทิ้งไว้อีก 1 ชั่วโมง และทาซ้ำซักสองสามรอบ เพื่อความแน่ใจ แต่ไม่ควรบีบกาวให้เป็นชั้นหนามากเกินไปนะครับ เพราะจะเป็นการถ่วงน้ำหนักให้กาวหลุดล่อนได้ง่ายมากขึ้น และที่สำคัญ พอทากาวเสร็จแล้ว ควรทิ้งไว้ให้กาวเซทตัวและแห้ง ประมาณ 1 วันนะครับ แล้วถึงจะใส่น้ำได้

3. มีรอยแตกยาวบริเวณพื้น หรือรอยแตกยาวเป็นเส้น

วิธีการก็เหมือนกันกับข้ออื่นๆครับ แต่เราอาจจะให้กระจกมาช่วยปะ โดยหากระจกที่ปิดรอยได้มิด แล้วใช้ซีลีโคนทาให้ทั่ว แล้วติดลงไปบนรอยแตก แล้วใช้ซีลีโคนยาให้ทั่วขอบของกระจกอีกที แต่วิธีนี้อาจจะใช้ได้แค่ชั่วคราวนะครับ เพราะกระจกมันแตกไปแล้ว ยังไงก็ไม่สามารถซ่อมแซมให้สามารถใช้งานได้เหมือนเดิม ไม่นานก็จะมีน้ำรั่วซึมออกมาอยู่ดี ทางที่ดีควรหาทางเปลี่ยนตู้ใบใหม่เลยจะดีที่สุดครับ

ซีลีโคนนี้ ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการซ่อมแซมท่อประปาได้อีกด้วยนะครับ แต่กรณีที่ใช้ไม่หมดในครั้งเดียว ให้ปิดฝาให้แน่น และแช่ตู้เย็นได้จะช่วยยืดอายุให้สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกครับ



01 กรกฎาคม 2556

เคล็ดลับ ....... วิธีรักษาตู้ปลาที่ไม่ได้ใช้งาน



สำหรับตู้ปลาที่ไม่ได้ใช้งานไปนานๆนั้น พอเรานำกลับมาใส่น้ำเลี้ยงปลาสวยงามใหม่อีก มักจะมีปัญหาน้ำซึมบริเวณขอบๆ เกิดจากซีลีโคนซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวประสานกระจกเสื่อมสภาพ วิธีที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวคือการใส่น้ำหล่อเอาไว้ในตู้ตลอด เพราะความชื้นของน้ำจะไม่ทำให้ซีลีโคนแห้งจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยรักษาอุณหภูมิของตัวกระจกอีกด้วย แต่ถ้าจะใช้วิธีนี้ก็อย่าลืมใส่เกลือพอประมาณลงในตู้ด้วยนะครับ ไม่งั้นจะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงแทน

Photo Credit : Here

เกลือกับการเลี้ยงปลาสวยงาม


เกลือนั้นนอกจากจะเป็นเครื่องปรุงรสอาหารแล้ว ยังมีคุณสมบัติเป็นยารักษาโรคด้วย โดยเราจะเห็นได้จากคนโบราณเค้าจะใช้น้ำเกลือเข้มข้นในการล้างแผล เพราะเกลือนี้จะเข้าไปทำลายเชื้อแบททีเรียต่างๆได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเลี้ยงปลาสวยงามได้เช่นกัน

สำหรับเกลือที่เหมาะกับการใช้เลี้ยงปลาสวยงามคือ "เกลือสมุทร" หรือเกลือทะเล ซึ่งเป็นเกลือที่ได้จากการนำน้ำทะเลขึ้นมาตากให้เแห้ง และตกผลึกเป็นเม็ดเกลือ โดยจะมีลักษณะเป็นเม็ดหยาบ รสชาติไม่เค็มจัด และมีแร่ธาตุที่เหมาะสม

แต่ส่วนมากเกลือที่เรานิยมใช้กันในครัวเรือนสำหรับปรุงอาหารส่วนมากจะเป็นเกลือสินเธาว์ ซึ่งเกลือที่่ได้จากดินเค็ม โดยนำเอาน้ำเกลือจากการละลายหินเกลือที่อยู่ใต้ดินมาต้มจนได้เกลือเนื้อละเอียดสีขาว และนำมาเติมแร่ธาตุบางอย่างซึ่งไม่เหมาะกับการเลี้ยงปลา แต่ก็สามารถใช้แทนกันได้ชั่วคราวในกรณีที่ไม่สามารถหาเกลือสมุทรได้

อัตราส่วนการใช้เกลือที่เหมาะสม

เกลือสมุทร 1 ขีด : น้ำ 100 ลิตร จะช่วยให้ปลาสดชื่น ไม่เครียด
เกลือสมุทร 3 ขีด : น้ำ 100 ลิตร จะช่วยป้องกันโรคทั่วไป
เกลือสมุทร 5 ขีด : น้ำ 100 ลิตร จะช่วยกำจัดแบททีเรีย, ปรสิต และโปรโตซัว (อัตราส่วนความเข้มข้นนี้ควรแยกปลาเพื่อรักษาเท่านั้น และสามารถใช้ยาเหลืองเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้อีกด้วย แต่ควรตรจสอบปริมาณที่เหมาะสมจากฉลากข้างซอง)

ปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ตายเกิดจากอะไร ( ตอนที่ 4 )


อันนี้เป็นตอนที่สี่ ของเรื่อง ปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ตายเกิดจากอะไร โดยสามารถอ่านตอนแรกๆได้ในบล๊อคของเว็บไซต์บ้านปลานี้นะครับ

7. ตายเพราะโดยต้ม

ไม่ได้หมายถึงโดนต้มจริงๆนะครับ แต่หมายถึงตายเพราะน้ำร้อนเกินไปนั่นเอง อย่างที่ทราบดีว่าบ้านเรามีสองฤดู หรือ ฤดูร้อน กับฤดูโคตรร้อน ส่วนอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะกับการเลี้ยงปลาคือสูงสุดไม่ควรเกิน 30 องศาเซลเซียส ซึ่งโดยทั่วไปก็มักจะไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่จะมีบางกรณีกับผู้ที่พักอาศัยใน แฟลต อพาร์มเมนต์ หรือคอนโดมิเนียม ยิ่งห้องที่ติดแอร์ พอตอนกลางวันที่เราไม่อยู่บ้าน ห้องที่ปิดไว้ก็จะกลายสภาพเป็นเตาอบดีๆนี่เองครับ ปลาที่อยู่ในตู้ขนาดใหญ่กว่า 24 นิ้ว ซึ่งมีปริมาณน้ำค่อนข้างมาก อาจจะพอปรับตัวได้ แค่กับตู้ขนาดเล็ก ซึ่งอุณหภูมิของน้ำสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว อาจส่งผลให้ปลาน๊อคน้ำและตายได้ครับ เพราะฉะนั้นทางที่ดี ตอนกลางวันก็อย่าลืมเปิดหน้าต่าง เพื่อระบายลมภายในห้องด้วยนะครับ


8. ตายเพราะเชื้อโรคต่างๆ 

จากที่เล่ากันมาถึงสาเหตุการตายของปลาสวยงามที่เราเลี้ยงนั้น ถ้าถามว่าทำไมถึงไม่มีกรณีการตายเพราะปลาเป็นโรคเลย ก็ต้องขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ว่าถ้าเราดูแลปลาที่เราเลี้ยงเป็นอย่างดี ควบคุมการเลี้ยงดูให้เหมาะสม โดยพิจารณาจากสาเหตุต่างๆด้านบนแล้ว น่าจะปลอดภัยจากการป่วยเป็นโรคครับ เพราะโรคต่างๆที่เกิดกับปลาสวยงามนั้นมักจะเริ่มเกิดจากสาเหตุที่ปลาอ่อนแอลงนั่นเองครับ 

นอกจากนี้ปลาสวยงามของเราอาจจะติดโรคการเพื่อนร่วมฝูงตัวใหม่ๆที่เราเพิ่งซื้อมา หรือจากต้นไม้น้ำ ของประดับก็เป็นได้ครับ ดังนั้นหากเราซื้อปลามาเลี้ยงใหม่เพิ่มเติมจากกลุ่มเดิม เราควรพักเค้าเพื่อดูอาการก่อนซัก 2-3 วันนะครับ ถ้าเห็นดูท่าไม่ค่อยดี ก็อย่าไปจับรวมกับฝูงเดิมของเราเด็ดขาด เพราะอาจจะระบาดตายไปทั้งตู้ได้ ส่วนต้นไม้น้ำ ของตกแต่ง เวลาซื้อมาใหม่ๆ เราควรฆ่าเชื้อเค้าด้วยการล้างด้วยน้ำเกลือเข้มข้นซักรอบสองรอบก่อนก็ดีครับ

และในกรณีที่มีปลาป่วยแล้ว สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาได้ในเว็บไซต์ของเราเลยครับ มีการแจ้งถึงอาการ และยาที่ใช้ในการรักษาไว้ให้แล้วครับ

Photo Credit : Here

วิธีปลูกบัวในบ่อปลาสวยงาม ไม่ให้น้ำขุ่น


โดยธรรมชาติของปลาแทบทุกประเภทจะมีลักษณะนิสัยชอบคุ้ยเขี่ยหาของทานเล่นไปทั่ว ยิ่งถ้ามีดินแล้วยิ่งไม่พลาดเลยครับ โดยกับปลาบางประเภทอย่างปลาทอง ในช่วงอนุบาลเค้าจะนิยมเลี้ยงในบ่อดินแบบธรรมชาติ เพราะจะทำให้โตเร็ว แต่ถ้าถามว่าปลากินดินเป็นอาหารเหรอ อันนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่ามันกินดินโดยตรง หรือแค่คุ้ยหาอาหารที่อยู่ในดิน ... ออกนอกเรื่องได้ซะได้ ขอกลับเข้าประเด็นนะครับ แน่นอนว่าลักษณะนิสัยชอบคุ้ยดินนั้น ย่อมทำให้น้ำในบ่อปลาของคุณขุ่นแน่นอน ส่วนวิธีแก้ไขก็ไม่ยากเลยครับ

อย่างแรกเราต้องพิจารณาเรื่องดินก่อนครับ ว่าดินที่เรานำมาปลูกบัวนั้นเป็นดินที่ถูกต้องหรือไม่ ดินที่เหมาะกับการปลูกบัว แน่นอนว่าต้องเป็นดินเหนียว ไม่ใช่ว่าคุณจะไปขุดดินหลังบ้านแล้วเอามาแช่น้ำ ปลูกบัวได้ ถ้าทำอย่างนั้น จะทำให้น้ำเน่าแน่นอนครับ ดินเหนียวที่มีลักษณะดี เหมาะกับการปลูกบัวคือ ต้องมีลักษณะเนื้อเนียนเป็นเนื้อเดียวกันหมด คล้ายๆดินน้ำมันเลยครับ โดยดินบัวที่ดี มักจะใช้การขุดขึ้นมาจากบ่อ หรือคลองธรรมชาติ ถ้ากรณีที่เราหาไม่ได้ ดินบัวสำเร็จรูปมีขายทั่วไปเลยครับ

ส่วนเคล็ดลับในการปลูกบัวในบ่อปลาไม่ให้น้ำขุ่นนั้น ก็ง่ายนิดเดียวครับ คือการปลูกบัวในกระถางก่อนนั้นเอง เราไม่ควรเทดินจำนวนมากลงในบ่อปลาสวยงาม เพราะเป็นสิ่งที่เราควบคุมยาก ทั้งปริมาณจุลลินทรีย์ในน้ำที่ช่วยในการย่อยสลายของเสีย ปริมาณอ๊อกซิเจน และแสงแดดอีก ยิ่งมีดินเยอะ ยิ่งทำให้น้ำเสียง่ายครับ การปลูกบัวในกระถางเสียก่อนจะช่วยจำกัดปริมาณดินในน้ำให้เหมาะสม และถ้าเราต้องการป้องกันการคุ้ยดินของปลาให้ดียิ่งขึ้น เราสามารถหากรวดก้อนเล็กๆมาโรยให้ทั่วหน้าดิน แต่อย่าโรยแยะหรือเป็นชั้นหนานะครับ เพราะจะทำให้บัวเน่าได้ ให้โรยบางๆประจายๆก็พอ

อีกส่วนสำคัญในตอนที่เราปลูกบัวน้ำ ไม่ควรนำดินเหนียวมากลบบริเวณโคนต้นส่วนที่เป็นราก ควรเว้นระยะนิดหน่อยบริเวณโคนต้น เพื่อให้รากสามารถชอนไชและรับอากาศได้ดีมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับเวลาใส่ปุ๋ย ก็ไม่ควรใส่ชิดกับโคนต้น เพราะจะทำให้รากเน่าได้

อีกปัจจัยนึงที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งในการปลูกบัว คือแสงแดดครับ บัวเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดพอสมควร ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงกันข้ามกับบ่อปลาสวยงามที่ไม่ต้องการแสงแดดจนเกินไป เพราะจะทำให้น้ำร้อนจนปลาตายได้ แต่การที่ไม่โดนแดดเลยก็อาจจะทำให้บัวเน่าตายได้ ดังนั้นเราควรสร้างบ่อปลาไว้ในมุมที่สามารถรับแดดได้ในตอนเช้าหรือเย็น และควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่โดนแดดร้อนจัดในตอนกลางวันนั่นเองครับ และควรระวังไม่ให้น้ำมีลักษณะขุ่นข้น แสงแดดควรสามารถลอดลงไปถึงก้นบ่อได้บ้าง

เราควรเติมน้ำใหม่ลงในอ่างบัวเป็นระยะ โดยการใช้สายยางดูดเอาน้ำเก่าออกมาบางส่วน ประมาณ 30-50 % ของอ่างบัว แล้วจึงเทน้ำที่พักคอลลีนไว้แล้วลงไปเบาๆ เพื่อถ่ายเอาสิ่งสกปรกออกมา่บ้าง


( Photo Credit : 
click )

ปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ตายเกิดจากอะไร ( ตอนที่ 3 )


อันนี้เป็นตอนที่สาม ของเรื่อง ปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ตายเกิดจากอะไร โดยสามารถอ่านตอนแรก และตอนที่สองได้ในบล๊อคของเว็บไซต์บ้านปลานี้นะครับ

5. ปลาตายเพราะข้างบ้านฉีดปลวก ฉีดยากันยุง หรือ ยาฆ่าแมลง

เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่เราคาดคิดไม่ถึง ถ้าเกิดอยู่ดีๆปลาน้อยในบ่อหน้าบ้านเรามันพร้อมใจกันตาย ทั้งที่ไม่น่าจะเหตุปัจจัยทำให้มันตายได้เลย เราก็น่าจะพิจารณาถึงสารเคมีอันมีพิษ ลอยระร่องมีอยู่ในบ่อปลาของเราด้วยครับ เหตุผลนี้ผมเคยเจอกับตัว โดยบ้านผมมีบ่อปลาค่อนข้างเยอะ เพราะต้องใช้พักปลาเพื่อจำหน่าย โดยจะต้องบ่อไว้ริมรั้วบ้านยาวไปเรื่อย วันดีคืนดี เจ้าปลาในบ่อ มันก็พร้อมใจกับตีลังกา ว่ายกรรเชิง และตายกันหมด ในระยะเวลาแค่วันสองวัน ตอนแรกเข้าใจว่าเครื่องปั๊มอ๊อกซิเจนหยุดทำงานเพราะไฟดับ สืบถามแล้วก็ไม่ใช่ พอได้มาคุยกับบ้านข้างๆ เค้าก็เล่าให้ฟังว่าวันก่อนให้ช่างมาฉีดน้ำยากำจัดปลวก โดยมีทั้งเจาะท่อและอัดลงไปในดิน กับแบบพ่นกระจาย ตอนนั้นก็ถึงบางอ้อเลยครับ ว่าที่ปลาตายเกิดจากอะไร แต่ความจริงปัญหานี้ก็เป็นเรื่องที่แก้ไขยากนะครับ เพราะมีปัจจัยของเพื่อนบ้านหรือคนอื่นมาเกี่ยวข้องทำให้เราควบคุมยาก แต่ถ้าเรารู้ร่วงหน้าว่าเค้าจะพ่นยาฆ่าแมลง ก็ให้รีบเอาผ้าพลาสติกมีปิดกันไว้ก่อนก็น่าจะช่วยได้ครับ



6. ปลาตายเพราะที่บ้านมีเด็กวัยกำลังซน

เวลามีลูกค้าที่เดินจูงเด็กๆวัยกำลังซนเดินเข้ามาบ่นกับผมว่า ที่บ้านปลาตายอีกแล้ว ข้อสันนิฐานอาจจะพุ่งเป้าไปยังเด็กน้อยน่ารักของคุณเลยครับ เพราะขึ้นชื่อว่าเด็กน้อย ไร้เดียงสา สิ่งที่จะมีมาด้วยคือความซน แน่นอนอยู่แล้วครับว่าความซนนั้นอาจจะนำมาซึ่งภัยอันตรายกับปลาสวยงามของคุณ เพราะปลานั้นไม่สามารถร้องหรือป้องกันตัวได้ ซึ่งแรกๆที่เด็กๆมักจะทำคือ การเอามือลงไปล้วงปลาในน้ำ ถ้าน้องเค้าสามารถจับหรือบีบปลาได้ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายโดยตรง แต่ถึงเค้าจะบีบหรือจับปลาไม่ทัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นไรนะครับ เพราะมือของมนุษย์เราทุกคนนั้นมีไขมันเกาะอยู่ ซึ่งไม่ดีกับปลาแน่นอน เพราะจะส่งผลให้ปลาป่วยได้ อีกทั้งคราบสกปรก เชื้อโรคต่างๆที่อาจจะติดไปมือด้วย นอกจากนั้นเด็กๆยังชอบเคาะตู้ปลา ซึ่งจะทำให้ปลาตื่นตกใจได้ง่าย และที่เห็นได้บ่อยๆคือ เด็กๆชอบเอาเศษดิน ของเล่น หรือของต่างๆในลงในตู้ และที่เห็นบ่อยๆคือขนม และอาหารต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุให้น้ำเน่าเสีย และปลาตายในที่สุดครับ เพราะฉะนั้นระวังเด็กน้อยของเราให้ดีนะครับ ^.^

Photo Credit : Here

ปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ตายเกิดจากอะไร ( ตอนที่ 2 )


อันนี้เป็นตอนที่สอง ของเรื่อง ปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ตายเกิดจากอะไร โดยสามารถอ่านตอนแรกได้ในบล๊อคขอแฟนเพจบ้านปลา http://www.facebook.com/barnpla นะครับ


3.
ปลาในตู้ตายหมดเลยคะ แถมน้ำก็ดำปี๋เลยด้วย

เอ่อ ... น้องครับ น้องรู้ไหมครับ ว่าเลี้ยงปลาสวยงามนั้น เราต้องมีการล้างตู้ปลาเป็นระยะๆด้วยนะครับ (เชื่อไหมครับ ว่ามีลูกค้าหลายรายไม่รู้เรื่องนี้ เหมือนกันกับที่ไม่รู้ว่าเครื่องปั๊มอ๊อกซิเจนนั้นห้ามโดนน้ำ) ผมเคยโดนเถียงกลับมาครั้งนึงตอนบอกอย่างนี้ ว่าก็พี่เคยบอกไงคะ ว่าเปลี่ยนน้ำในตู้ ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ยิ่งนานยิ่งดี .... T.T    เหตุผลการตายนี้เกิดจากน้ำในตู้ปลามันเน่าเสียครับ ซึ่งจะเกิดหลายสาเหตุ เช่น อาหารเหลือ ขยะจากมูลของปลา ขยะจากต้นไม้น้ำและอีกมากมาย ซึ่งจะเกิดเป็นแอมโมเนียอยู่ด้านล่างของตู้ พอในตอนกลางคืน ปลาสวยงามของเราก็จะหลับ และลอยไปมา พอเค้าไปอยู่ในบริเวณที่มีแอมโมเนียเจือนปนสูง เค้าก็จะตายครับ โดยวิธีง่ายๆที่เราสังเกตุได้ว่าควรเปลียนน้ำในตู้ปลาแล้ว คือน้ำมีสีคล้ำ ออกน้ำตาลๆ และมีฟองเกาะบริเวณผิวน้ำ แถมยังมีกลิ่นแปลกๆ ก็ให้เริ่มพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนน้ำในตู้ได้แล้วครับ อ้อ ... และมีสำคัญ อย่าลืมเตรียมน้ำนะครับ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นหนีเสือปะจระเข้ หนีแอมโมเนียเจอคลอลีน ปลาพากันตายไปอีก


4. ปลาตายเพราะให้อาหารเยอะเกินไป

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการตายในปลาสวยงามเลยครับ โดยเฉพาะกับปลาทอง ... เจ้าปลาทองน้อยผู้เป็นชูชกที่น่าสงสาร เพราะความจำของมันแสนสั้น จำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตัวเองได้กินไปแล้ว พอมีคนมาให้อาหารก็ขึ้นมาตอดกินไปเรื่อยๆ จนท้องแตกตาย .... เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกร้ายอันนึงเลยทีเดียวครับ โดยธรรมชาติของปลาทอง และปลาสวยงามทั่วไป มันจะกินอาหารแค่วันละ 1-2 ครั้งเท่านั้นครับ ความจริงให้วันละครั้งก็พอ แต่ในบางบ้านที่มี คุณตา คุณยาย คุณลุง คุณป้า คุณพ่อ คุณแม่ และเหล่าลูกๆ พอเดินผ่านตู้ปลา ด้วยสัญชาติญาณของสัตว์มันก็จะขึ้นมาบ๊อบๆขอกินอาหารหน่อย เราก็มักจะเข้าใจผิดว่ามันหิว เลยเทอาหารให้มันกิน พอคนนึงผ่านก็เททีนึง กลายเป็นว่าปลาตัวนี้กินวันละ 7 - 8 มื้อ ซึ่งอาหารเม็ดสำเร็จรูปนั้นของเสียของมันคือ มันจะเค้าไปบานในท้องของปลา ถ้ามันกินแค่นิดหน่อยเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้ามันเจอวันละ 7 - 8 มื้อ เรื่องนี้เป็นปัญหาแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นใน 1 บ้าน ควรจะมีแค่ 1 คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ให้อาหารปลา เพราะความปลอดภัยของเจ้าปลาน้อยของเราครับ

Photo Credit : Here

ปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ตายเกิดจากอะไร ( ตอนที่ 1 )



คำถามนี้เป็นคำถามที่มีลูกค้าถามบ่อยเหมือนๆกันครับ ว่าปลาที่เลี้ยงไว้ตาย เลี้ยงเท่าไหร่ๆก็ตาย เบื่อมากเลย ไม่อยากเลี้ยงแล้ว ... คำถามที่ผมมักจะถามกลับไปก็คือ มันตายยังไง โดยคำตอบที่มักจะได้รับกลับมาก็คือ มันก็หยุดว่าย หงายท้อง แล้วก็ตายไงคะ แหม..ถามมาได้ ซึ่งเล่นเอามึนเหมือนกันครับ เหตุผลที่เราต้องทราบและสังเกตุว่าปลาสวยงามที่เราเลี้ยงไว้นั้นมันตายยังไง ก็เพื่อจะได้นำมาวิเคราห์หาสาเหตุการตายของพวกมันไงครับ


1.
เลี้ยงมานานแล้ว อยู่ดีๆมันก็หงายท้องตาย หรือลงไปนอนอยู่ก้นตู้แล้วตาย

ถ้าเป็นกรณีนี้ผมจะสันนิฐานก่อนว่ามันหมดอายุขัยครับ แหม ... ปลาสวยงามก็เป็นสิ่งมีชีวิตนะครับ มันก็ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฐจักรธรรดา ปลาสวยงามโดยทั่วไปนั้น ไม่ได้มีอายุยืนยาวเหมือนสุนัขและแมวนะครับ ที่อยู่กันเป็นสิบปี ส่วนมากแล้วจะอยู่ได้ประมาณ 2-3 ปี ก็จะเริ่มป่วยตายแล้วครับ แต่กับบางประเภท บางสายพันธุ์ มีอายุเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น สังเกตุง่ายๆอย่างปลาหางนกยูงที่เราเลี้ยงไว้กินลูกน้ำกันแทบทุกครัวเรือนนั้น จะมีอายุเฉลี่ยประมาณไม่น่าจะเกิน 1 ปีเท่านั้น นอกจากบางสายพันธุ์ที่ดีจริงๆอาจจะมีอายุได้ถึง 2 ปี แต่หลายคนก็เถียงว่าไม่เคยจะเห็นมันตายเลย นั่นคงเพราะว่า เรานิยมเลี้ยงปลาหางนกยูงเป็นฝูงหลายๆสิบตัว ซึ่งจะทำให้เกิดการเจริญพันธุ์ ออกลูก ออกหลาน กันในบ่อบัวใบนั้น ตัวที่ตายมักจะจมลงสู่ก้นบ่อ ย่อยสลายเป็นอาหารให้กับพืชน้ำไป แถมตัวยังเล็กนิดเดียว แป๊ปเดียวก็ละลายหายไปหมด เราเลยไม่ทันสังเกตุเห็นครับ

ว่าปลาส่วนมาก อย่างเช่น ปลาทอง พอเค้าอายุเยอะมากๆแล้ว มักจะมีโรคภัยไข้เจ็บตามมา เหมือนมนุษย์เราดีๆนี่แหละครับ โดยโรคส่วนมากที่จะมักพบเห็นคือโรคเกล็ดตั้ง ซึ่งก็จะมียารักษาตามอาการ ให้เราได้ดูเค้าเล่นซักพัก ก่อนเค้าจะจากเราไปครับ แต่ที่สำคัญคือในช่วงนี้ของปลา หากเป็นไปได้เราควรแยกเค้าออกมาเลี้ยงต่างหากนะครับ เพราะเชื้อโรคที่เกิดขึ้นอาจจะแพร่ไปติดปลาตัวอื่นๆในตู้เดียวกันได้ครับ


2. เปลี่ยนน้ำปุ๊ป ตายปั๊ป

โป๊ะเช๊ะเลยครับ กรณีนี้ง่ายมาก แถมยังเป็นสาเหตุหลักๆเลยด้วยซ้ำที่ทำให้ปลาสวยงามของเราตาย เหตุผลคือในน้ำประปาที่เรานำมาเลี้ยงเค้านั้น มีสารเคมีชื่อคุ้นหูที่ชื่อว่า"คลอลีน"อยู่ครับ ซึ่งเจ้าคลอลีนนี่ก็คือยาฆ่าเชื้อแบบหนึ่ง ที่ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคต่างๆในน้ำให้สะอาดจนเราสามารถบริโภคได้ คอลลีนนั้นถูกควบคุมให้อยู่ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตรายกับมนุษย์ แต่ไม่ใช่กับปลา 

สำหรับผลของคอลลีนที่มีอยู่ในน้ำประปาที่มีผลกับปลานั้น เริ่มตั้งแต่ การทำให้เซื่องซึม ว่ายขึ้นมาพะงาบๆบนผวน้ำ เพราะเจ้าคลอลีนไปทำลายการทำงานของเหงือก ที่เปรียบเสมือนจมูกของปลา ทำให้ปลาหายใจลำบาก ไม่สามารถกรองอ๊อกซิเจนในน้ำเข้าสู่ตัวปลาได้ และส่วนมากปลาหลายชนิดจะตายเพราะอาการแพ้คอลลีน

วิธีที่ง่ายที่สุดในการกำจัดคลอลีนในน้ำประปา คือการเปิดน้ำใส่ภาชนะใดๆทิ้งไปไว้ก่อนที่เราจะนำไปใส่ตู้หรืออ่างปลา โดยควรเปิดทิ้งไว้อย่างน้อย 1 - 2 วันเป็นอย่างต่ำ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลมาก แต่แน่นอนว่าจะมีปัญหาแน่นอนกับคนที่มีผู้ปลาขนาดใหญ่มากๆ หรือบ่อปลาขนาดใหญ่ เพราะไม่สามารถหาภาชนะมาสำรองน้ำเพื่อพักน้ำได้ สำหรับคนที่มีข้อจำกัดเรื่องการพักน้ำนั้นก็จะมีผลิตภัณฑ์สำหรับกำจัดคลอลลีน โดยใส่เพียงเล็กน้อยก็สามารถปล่อยปลาได้เลย ซึ่งถือว่าสะดวกและปลอดภัยกับปลาอีกด้วยครับ (แต่ถ้าใส่เยอะเกินก็ไม่ดีนะครับ)

Photo Credit : Here

ควรใส่พืชน้ำ-พรรณไม้น้ำ ในตู้หรือบ่อปลาสวยงามหรือไม่


ส่วนตัวชอบตู้ปลาหรือบ่อปลาที่มีต้นไม้น้ำอย่างสาหร่ายปลูกอยู่มากๆเลยครับ เพราะรู้สึกถึงความอ่อนโยน มีความเคลื่อนไหว เวลาดูแล้วรู้สึกผ่อนคลายจากสีเขียวอ่อนๆของสาหร่าย ถ้าจะพูดถึงประโยชน์ของต้นไม้น้ำในตู้หรือบ่อปลาสวยงามนั้น ประโยชน์ของมันก็คือเพิ่มประมาณอ๊อกซิเจนที่เจืออยู่ในน้ำ สังเกตุได้จากปลาสวยงามที่เลี้ยงในตู้หรือบ่อที่มีต้นไม้น้ำปลูกอยู่ จะมีความสดชื่นกว่าในตู้หรือบ่อที่ไม่มี อีกทั้งเหล่าพรรณไม้น้ำนั้นยังสามารถเป็นอาหารให้กับปลาได้อีกด้วย แถมยังสามารถใช้เป็นที่กำบังของปลาให้เข้าไปแอบเวลารู้สึกไม่ปลอดภัย

การที่เราจะเลือกพรรณไม้น้ำมาปลูกในตู้ปลานั้น ผมแนะนำว่าให้ใช้พรรณไม้น้ำทั่วๆไป เช่นสาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายเดนซ่า บัวอเมซอน ฯลฯ เพราะพรรณไม้น้ำเหล่านี้โตง่าย ไม่จำเป็นต้องให้การดูแลมากนัก สามารถเติบโตได้แบบช้าๆ โดยไม่ต้องปลูกในดิน เพียงนำไปใส่ไว้ในตู้ ต้นไม้เหล่านี้ก็สามารถเติบโตได้เอง โดยต้องการเพียงแสงสว่างที่พอเพียงเท่านั้น

การใส่ต้นไม้น้ำในตู้ปลานั้น เราอาจจะต้องพิจารณาถึงประเภทของปลาที่เลี้ยงด้วย เพราะปลาสวยงามส่วนใหญ่นิยมกัดกินต้นไม้น้ำเป็นอาหาร ทำให้ต้นไม้น้ำฉีกขาดได้ ถ้าเรามองว่าเป็นอาหารปลาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่บางครั้งใบไม้ที่หลุดในตู้ปลาพอมีจำนวนมากๆเข้า อาจทำให้น้ำเน่าเสียได้ ดังนั้นถ้าเราเห็นว่ามีใบของพรรณไม้น้ำหลุดลอยไปมาในน้ำเยอะๆเข้า ก็ควรช้อนออกบ้างนะครับ


Photo Credit  : Here